โรงเรียนบ้านหนองหม้อข้าว (ศิริทวีอุปถัมภ์)

หมู่ที่ 5 บ้านบ้านหนองหม้อข้าว ตำบล ป่าหวาย อำเภอ สวนผึ้ง จังหวัด ราชบุรี 70180

Mon - Fri: 9:00 - 17:30

xxx xxx xxx

โรคต้อหิน อธิบายเกี่ยวกับประเภทต่างๆและสาเหตุของการเกิดโรคต้อหิน

โรคต้อหิน โรคต้อหินหรือที่เรียกว่าความดันตาสูงในทางการแพทย์ มีสาเหตุหลักมาจากความดันภายในดวงตาที่เพิ่มขึ้น การไม่สามารถระบายลูกตาได้อย่างมีประสิทธิภาพอาจนำไปสู่ความเสียหายของเส้นประสาทตา ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด เป็นที่น่าสังเกตว่าความดันตาสูงไม่ได้เป็นปัจจัยในการเกิดโรคต้อหินเสมอไป แม้ว่าโรคต้อหินจะไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ แต่อาการสามารถจัดการได้เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงไปอีก

ผู้ป่วยโรคต้อหิน ควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำกับจักษุแพทย์ทุก 3 เดือน การรักษาอย่างทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการปล่อยให้โรคไม่ถูกตรวจสอบอาจทำให้ตาบอดอย่างถาวร จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก รองจากต้อกระจก โรคต้อหินเป็นสาเหตุการตาบอดอันดับสองของโลก โรคต้อหิน ชนิดปฐมภูมิเป็นชนิดของโรคต้อหินที่ทำให้ผู้ป่วยโรคต้อหินประมาณ 4.5 ล้านคนทั่วโลกตาบอดสนิทถึง 12%

ในประเทศไทย อัตราการเกิดโรคต้อหินสูงขึ้นอย่างมาก โดยพบมากถึง 36% ของประชากรทั่วประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2563 คนไทยประมาณ 700,000 คนจะเป็นต้อหิน แม้ว่าโรคต้อหินจะรักษาไม่หาย แต่มาตรการป้องกัน และควบคุมสามารถช่วยลดการสูญเสียการมองเห็นได้

โรคต้อหิน

โรคต้อหินเกิดจากการไหลเวียนของของเหลวในดวงตาไม่มีประสิทธิภาพ ของเหลวนี้มีหน้าที่ให้สารอาหารแก่เลนส์ และกระจกตาก่อนที่จะระบายออกทางมุมตา การรักษาสมดุลของน้ำในดวงตา เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความดันตาให้อยู่ในระดับปกติ ในทางกลับกัน ความดันตาสูงยังทำลายสมดุลของน้ำในตาอีกด้วย ในกรณีที่ของเหลวในดวงตาไม่สามารถระบายออกได้อย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเรตินา ซึ่งทำให้ประสาทตาเสื่อมลงทีละน้อย

สาเหตุของความดันตาสูงยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีองค์ประกอบทางพันธุกรรม ปัจจัยที่อาจนำไปสู่ภาวะนี้ ได้แก่ การใช้ยาหยอดเพื่อขยายม่านตา การไหลเวียนของเลือดไปยังเส้นประสาทตาลดลง ความดันโลหิตสูง การอักเสบหรือติดเชื้อรุนแรง ตาที่ยื่นออกมาเด่นชัด และการสัมผัสกับสารเคมีอันตรายหรือการผ่าตัด

โรคต้อหินเกิดจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ที่นำไปสู่การเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทจอประสาทตา ทำให้ลานสายตาผิดปกติ เกิดรอยหยักกว้างบนขั้วประสาทตา และส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การพัฒนาของโรคต้อหินครอบคลุมเงื่อนไขต่างๆ มากมาย

โรคต้อหินเป็นภาวะที่ส่งผลต่อดวงตา แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ประเภทเหล่านี้ ได้แก่ ต้อหินระยะแรก ต้อหินทุติยภูมิ ต้อหินแต่กำเนิด และต้อหินที่สงสัยว่าเป็นต้อหิน โรคต้อหินชนิดปฐมภูมิเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด โรคต้อหินชนิดทุติยภูมิเป็นผลมาจากสภาวะทางตาอื่น ในขณะที่โรคต้อหินแต่กำเนิดเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิด ต้อหินที่ต้องสงสัยคือ เมื่อผู้ป่วยแสดงอาการของโรคต้อหินแต่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัย

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของโรคต้อหินแต่ละประเภทมีดังต่อไปนี้ โรคต้อหินที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เรียกว่า โรคต้อหินชนิดปฐมภูมิ ภาวะนี้มักพบในผู้สูงอายุและสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ต้อหินเฉียบพลันและต้อหินเรื้อรัง ความแตกต่างระหว่างสองประเภทนี้มีดังนี้

โรคต้อหินที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง เรียกว่าโรคต้อหินเฉียบพลัน ซึ่งมีอาการรุนแรง เช่น ปวดตา ตามัว และตาแดง การไม่รักษาสภาพนี้อย่างทันท่วงทีอาจทำให้ตาบอดได้ โรคต้อหินเรื้อรังเป็นภาวะที่ไม่ทำให้เกิดอาการปวดตาหรือมองเห็นไม่ชัด แต่มักส่งผลให้การมองเห็นรอบข้างลดลงทีละน้อย ผู้ป่วยอาจรู้สึกไม่สบายตาและไม่สามารถใช้สายตาเป็นเวลานานได้

น่าเสียดายที่อาการเหล่านี้มักถูกเข้าใจผิดว่า เป็นการสูญเสียการมองเห็นที่เกี่ยวข้องกับอายุโดยธรรมชาติ โดยบุคคลที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมทางการแพทย์ เนื่องจากต้อหินเรื้อรังมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและตรวจพบได้ยาก การวินิจฉัยจึงมักล่าช้าออกไปจนกว่าอาการจะเด่นชัดขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากที่ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นไปมากแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงอาจรู้ตัวว่าเป็นต้อหิน

โรคต้อหินชนิดทุติยภูมิ อาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การบาดเจ็บที่ตาหรือภาวะเบาหวานขึ้นจอตา ในการจัดการกับโรคต้อหินทุติยภูมิอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องระบุและรักษาสาเหตุที่แท้จริง การรักษาที่ล่าช้าหรือไม่เพียงพอ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติมซึ่งอาจเป็นอันตรายได้

ภาวะที่เรียกว่า Congenital Glaucoma เป็นผลมาจากความผิดปกติในการพัฒนาลูกตาของเด็กในขณะที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา พัฒนาการที่ผิดปกตินี้ทำให้ความดันตาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิดภาวะนี้ ผู้ที่สงสัยว่าเป็นต้อหินอาจมีอาการคล้ายกับต้อหินเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้อาจไม่พัฒนาเต็มที่ ในกรณีเช่นนี้ แพทย์จะต้องติดตามอาการของผู้ป่วยในระยะยาว

โรคต้อหินแสดงอาการผิดปกติทางตาและปวดตา อาการของโรคต้อหินมีสองประเภท แบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง อาการของโรคต้อหินประเภทนี้มีดังนี้ ในกรณีของต้อหินเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการอย่างฉับพลัน ได้แก่ ปวดตา มองเห็นไม่ชัด ตาแดง และตามัว ความรุนแรงของอาการปวดตาอาจเพิ่มขึ้นจนทำให้อาเจียนได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องไปพบแพทย์ทันที

ในขั้นต้น บุคคลที่เป็นโรคต้อหินเรื้อรังอาจมองไม่เห็นความผิดปรกติใดๆ ในการมองเห็นหรือดวงตาของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ลานสายตาจะค่อยๆ ลดลง ผู้ป่วยเหล่านี้อาจรู้สึกไม่สบายตา แต่อาจคิดง่ายๆ ว่าเป็นผลมาจากอายุที่มากขึ้นตามธรรมชาติ น่าเสียดายที่การวินิจฉัยโรคต้อหินไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมักจะต้องรอจนกว่าอาการจะชัดเจนขึ้น ก่อนที่จะสามารถวินิจฉัยขั้นสุดท้ายได้

ปัจจุบันมีวิธีการรักษาโรคต้อหินที่ได้ผลดีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ การใช้ยา การรักษาด้วยเลเซอร์ และการผ่าตัด วิธีแรกเกี่ยวข้องกับการใช้ยาที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสั่งเพื่อบรรเทาอาการ วิธีที่สองใช้เทคโนโลยีเลเซอร์เพื่อรักษาปัญหาพื้นฐาน สุดท้าย การผ่าตัดอาจจำเป็นสำหรับกรณีที่รุนแรง ด้านล่างนี้เป็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเหล่านี้

ในปัจจุบัน มียารักษาต้อหินหลายประเภทให้เลือก ซึ่งประกอบด้วยยาหยอดตาที่ช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติโดยลดการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา การรักษาด้วยยาจำเป็นต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษา

เมื่อพูดถึงการรักษาต้อหินด้วยเลเซอร์ ต้อหินชนิดเฉพาะและระยะเวลาที่ผู้ป่วยเป็นจะเป็นตัวกำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสม การรักษาโรคต้อหินแบบมุมเปิดด้วยเลเซอร์ส่องกล้องแบบเจาะจง เป็นวิธีที่ใช้หลังจากพิสูจน์แล้วว่ายาหยอดตาประสบความสำเร็จเท่านั้น แม้ว่าเลเซอร์ไซโคลโฟโตโคอะกูเลชันจะเป็นทางเลือกการรักษาที่ได้ผล แต่ไม่สามารถใช้กับการรักษารูปแบบอื่นได้

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ : สุขอนามัย อธิบายเกี่ยวกับการฝึกอบรมด้านสุขอนามัยและการตรวจสุขภาพ